Fictober Day 8 : LOST

MDZS Fictober Day 8 : LOST

one shot

Main Character – หลานซีเฉิน , #ซีเฉิง , จินกวงเหยานิดนุง

Rate – PG13

Note – SPOILED !!!! มีสปอยล์ถึงตัวละครที่ตายค่ะ timeline คือเนื้อเรื่องหลักปัจจุบันจบแล้ว

.

.

.

สูญสลายมลายหายสิ้น แม้เพียงเศษเสี้ยวเถ้าธุลีจากกระดูกก็ไม่เหลือไว้

บุรุษอาภรณ์สีบริสุทธิ์เหมือนนภายามเช้าทรุดกายนั่งรินน้ำชาจิบท่ามกลางความเงียบงันที่มีเพียงเสียงลมกระทบใบไม้ ครั้งหนึ่งมักมีใครอีกคนที่คอยรินชาเติมให้เขาเสมอมา

ชากลิ่นโบตั๋นหิมะที่ใครบางคนมักคอยบริการให้เสมอนั้นแม้ไม่หวานติดลิ้นเหมือนชาอื่นแต่กลิ่นหอมกำจายไปทั่วแค่เพียงเทน้ำร้อนลงไปในกา

ยามนี้แม้จะเลือกดื่มเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกในอกกลับเปลี่ยนไป

เมื่ออดีตครั้งที่น้องชายร่วมสายเลือดสูญเสียคนผู้ที่เขารักดั่งดวงจิตไปจะรู้สึกเช่นนี้หรือไม่ เฝ้าคอยไถ่ถามเรียกหาดวงวิญญาณไปนานนับร่วมสิบปี เฝ้ามองดวงตะวันจันทราผลัดเปลี่ยนขึ้นอนันต์

มิได้รักและมีเสน่หาจนอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกระทั่งเส้นผมเปลี่ยนสีไปด้วยกัน หากแต่หวังจะเป็นสหายคู่คิดจนแก่เฒ่า

หากจะโทษใครได้ย่อมมีเพียงเขาเพียงผู้เดียว ไม่รู้จักสังเกตความทุกข์ตรมที่อีกฝ่ายเก็บงำจนปลดปล่อยออกมาผิดวิธี เชื่อในความรู้สึกของตนจนนำพาไปผิดทาง

…..อาเหยา พี่รองขอโทษ

.

.

.

“ประมุขหลาน” น้ำเสียงเคยคุ้นของประมุขเจียงแว่วมาข้างหลัง หลานซีเฉินพาตนออกมากภวังค์ส่วนตัว

“ผู้แซ่หลานขออภัย มิทราบว่าประมุขเจียงมาเยือนอวิ๋นเซิ่นปู้จื้อฉู่เลยมิได้ออกไปต้อนรับ”

“ทางการมากไปใย ท่านย่อมรู้ข้ามิได้ต้องการความมากพิธีเช่นนั้น ขอถือวิสาสะนั่งตรงนี้”

หลานซีเฉินวาดรอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่เจียงเฉิงรู้สึกเสมอว่าแม้เป็นรอยยิ้มการค้าแต่มันก็ดูจริงใจเสมอมา ผิดก็แต่ครั้งนี้ที่ดูฝืนใจเหลือเกิน

“ข้าอยากมาฝากฝังให้จินหลิงได้มีโอกาสเล่าเรียนที่นี้ มิทราบว่าฤดูหน้ายังพอมีที่ว่างสำหรับนักเรียนเหลือหรือไม่ เจ้าเด็กนั้นย้อนยอกข้าเก่งขึ้นทุกวัน เห็นทีจะเคี่ยวเข็ญต่อไม่ไหวเสียแล้ว”

“มาเถิด ย่อมมีที่สำหรับพวกท่านเสมอ”

“พวกท่าน ? ข้ามิได้จะมาเล่าเรียนด้วย แค่อาหลิงเท่านั้น”

“ข้าขออภัยท่านแล้ว” หลานซีเฉินระบายรอยยิ้มและหัวเราะจางๆ

“แต่หากข้าจะมาเยือนที่นี้บ่อยๆ สามารถหรือไม่ประมุขหลาน”

“ย่อมได้อยู่แล้ว เราหาใช่คนอื่นไกล ประมุขเจียงอย่าได้เกรงใจ”

ประมุขแห่งสัตตบงกชมองผู้สูงวัยกว่าตรงหน้า ในอดีตยามเมื่อเขาก้าวขึ้นเป็นผู้นำสกุล ล้วนมีแต่คนนับร้อยพันกังขาทั้งในเรื่องวัยวุฒิและความสามารถ แต่หลานซีเฉินคือคนที่ส่งความเชื่อมั่นมาให้เขาตลอดด้วยกำลังใจและพลังชีวิตเต็มเปี่ยมเหลือล้นว่าจะฝ่าฝันทุกอย่างไปได้เพราะมีพี่น้องร่วมสาบานอีกสองคนประคับประคองซึ่งกันและกันตลอดมา

ยามนี้สิ้นแล้วสองประมุขที่เคยเคียงข้าง เหลือเพียงความรู้สึกผิดบาปที่ทิ้งไว้ให้คนยังมีชีวิตอยู่
เจียงเฉิงไม่เคยชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร ความรู้สึกยามเมื่อต้องเป็นผู้รับทั้งที่ไม่เคยร้องขอทำให้อึดอัดจนหงุดหงิด เดิมซึ่งอารมณ์ร้ายอยู่แล้วกลับฉุนเฉียวมากขึ้นทวี แม้ไม่ได้รับการเกื้อหนุนโดยตรง แต่เขาก็ยังรู้สึกคล้ายติดค้างหลานซีเฉินเสมอมา

“อดีตย่อมไม่มีวันหวนคืน ท่านมองดูข้าก็ย่อมรู้ว่าข้าเคยจมปลักกับมันมานานแค่ไหน”

“……”

“…..ข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ ข้าทนเห็นท่านซึมกะทือเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวหรอก เพียงแค่หานกวงจวินอวิ๋นเซิ่นปู้จื้อฉู่ก็แทบจะเป็นภูเขาน้ำแข็งแล้่ว ท่านมิรู้หรือ”

เจียงเฉิงแสร้งมองไปทางอื่นและพูดด้วยน้ำเสียงติดฉุนเฉียว หากแต่รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจของคนฟัง หลานซิเฉินมิใช่คนซื่อจนมองคนอื่นไม่ออก เพียงเท่านี้เขาก็ย่อมรู้แล้วว่าคนตรงหน้ามาด้วยความหวังดีเต็มล้น

“หวั่นอิ๋น… ท่านช่างเป็นคนอ่อนโยนจริงๆ”

“อย่าเข้าใจผิด! ข้าไม่ได้ทำเพื่อท่าน ข้าทำเพื่อหลานชายของข้าอยู่แล้ว”

“ผู้แซ่หลานเข้าใจผิดแล้วขออภัยด้วย หวั่นอิ๋น หากท่านยังพอมีเวลาเหลือ โปรดนั่งดื่มชาฟังข้าบรรเลงเพลงขลุ่ยเถิด”

“ได้ …. ข้าจะถือว่าเห็นแก่ท่านแล้วกันครั้งนี้ ไม่ต้องนับเป็นบุญคุณด้วยหรอกนะ ข้าเต็มใจ”

อวิ๋นเซิ่นปู้จื้อฉู่ก็มิได้เหน็บหนาวเสียจนดอกไม้แห่งความสุขจะไม่สามารถผลิบานได้กระมัง หลานซีเฉินรินน้ำชาให้อาคันตุกะผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า กลิ่นหอมจากดอกโบตั๋นกำจายไปทั่ว นับเรื่องราวที่จบสิ้นไป คงจะเป็นครั้งแรกที่เขายิ้มออกมาได้จากหัวใจจริงๆ

ขอบคุณเจ้าเหลือเกิน หวั่นอิ๋น

.

.

.

.

FIN

Fictober Day6 – The Patriarch

Fictober Day6 – The Patriarch

Mo dao zu shi

one shot

Main Character – เว่ยอู๋เซี่ยน / อาเยวี่ยน   #วั่งเซี่ยน

Rate – PG13

Note – กาวเอาเองทั้งหมดทั้งมวล ถ้าผิดจากเนต้าไว้กลับมาลบให้หมด อับอาย555555

 

 

“อาเยวี่ยน เจ้าเอาเฉินฉิงข้าไปเล่นหรือเปล่า— อาเยวี่ยน! เจ้าก้อนน้ำลายนี่ เอาอีกแล้วรึ”

เจ้าก้อนน้ำลายที่ว่ากำลังนอนอมปากขลุ่ยของพี่เซี่ยนอย่างเพลิดเพลิน เว่ยอู๋เซี่ยนอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ปรมาจารย์อี๋หลิงผู้เป็นที่หวาดกลัวไปทั่วทั้งยุทธภพ ทั้งขลุ่ยมารเฉินฉิงที่ใช้บังคับกายเนื้อของเหล่าศพก็มีชื่อเสียงกระจายไปทั่วหล้า บัดนี้กลับสิ้นสภาพกลายเป็นของเล่นของเด็กไปเสียนี่

อาเยวี่ยนร้องขัดอกขัดใจที่โดนแย่งของเล่นสำคัญไป ปากน้อยๆ ของเจ้าตัวขาวนุ่มนิ่มเริ่มเบะคล้ายจะร้องไห้ พอได้สัมผัสคุ้นเคยที่ลูบหลังตนกลับกลิ่นหอมบนเนื้อผ้าของพี่เซี่ยนก็คล้ายจะเคลิ้มหลับ

“เจ้าตัวเล็กนี่ไม่โตเอาเสียเลย ต้องให้ข้าฝังเจ้ารดน้ำอีกมั้ย”

“ม่ายยยย ม่ายยยย พี่เซี่ยนอย่าแกล้งอาเยวี่ยน” อาเยวี่ยนน้อยหวีดร้องขึ้นมาเมื่อได้ยินคล้ายภัยร้ายกำลังคืบคลานมาหาตน มือเล็กป้อมจับหน้าพี่เซี่ยนไว้แล้วส่ายหัวกลมดิก

เว่ยอู๋เซี่ยนอุ้มอาเยวี่ยนไปนั่งยังที่ประจำที่เดิม เวลาเดิมที่เขามักพาเจ้าตัวเล็กมาดูพระอาทิตย์ตกจนนั่งมองพระจันทร์สีนวลส่องประกายบนท้องฟ้ารัตติกาล

ไม่รู้จะประคองชีวิตไปได้อีกนานแค่ไหน

พลังมารจะกัดกร่อนทั้งร่างกายและจิตใจ

คิดว่าเขาไม่รู้หรือ แต่เหลือทางใดให้เลือกเดิน ชีวิตที่ต้องตายจากไปทั้งที่ยังไม่ได้ชำระแค้น ไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ แม้ตายไปแต่ย่อมไม่มีวันปิดเปลือกตาได้ลง ไม่มีวันไปสู่สุขติ

หนทางแห่งการเป็นปรมาจารย์สายมารโดดเดี่ยวและอ้างว้าง เป็นชื่อเสียงที่ด่างพร้อย เว่ยอู๋เซี่ยนยอมรับและยินยอม หากแค่เพียงแลกมาด้วยการแก้แค้นให้สัมฤทธิผล

แต่เหตุใดเล่าอี๋หลิงเหลาจู่จึงมองไม่เห็นหนทางอนาคตให้ก้าวเดิน

“พี่เซี่ยน พี่เซี่ยน เป่าเร็ว…. เป่า” อาเยวี่ยนยกแขนป้อมชี้ไปที่เฉินฉิง อยากฟังเพลงคุ้นเคยที่พี่เซี่ยนเป่าให้ฟังทุกวัน

“เจ้าหัวผักกาด เจ้าทำน้ำลายข้าเต็มขลุ่ยไปหมด จะเป่าได้อย่างไรกันเล่า”

“พี่เซี่ยนไม่เป่า อาเยวี่ยนไม่หลับ”

“เจ้าตัวอมขลุ่ย ตัวเท่าผักกาดรู้จักต่อรองแล้วรึ ข้ามีวิธีทำให้เจ้าหลับอีกแน่นอน”

ปรมาจารย์อี๋หลิงผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วยุทธภพยกสองมือจี้เข้าข้างตัวของอาเยวี่ยน เด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบใจ พยายามไล่จับมือของผู้ใหญ่จนดิ้นร่วงตกลงมาจากตักของเว่ยอู๋เซี่ยน แต่อาเยวี่ยนก็ยังหัวเราะคิกคักกลิ้งไปบนดินจนเลอะเทอะไปหมด

“อาเยวี่ยน เวินฉิงต้องบ่นข้าอีกแน่ เจ้าเพิ่งอาบน้ำมาเตรียมจะเข้านอนแท้ๆ เนื้อตัวเลอะไปหมดแล้ว”

“พี่เซี่ยน ไปอาบกับอาเยวี่ยนนะ อาบน้ำหอมๆ”

ร่างกายและเนื้อตัวมอมแมมของอาเยวี่ยนปีนขึ้นมาอยู่บนตักของเว่ยอู๋เซี่ยน เด็กน้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้ำนมที่เริ่มโผล่ขึ้นมาตามเหงือกชมพูสดใส พี่เซี่ยนอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตักดีๆ บนโลกนี้คนที่ไม่กลัวปรมาจารย์สายมารอย่างเขาคงมีอาเยวี่ยนคนนี้คนเดียว

“พี่เซี่ยน อาเยวี่ยนอยากเจอ”

“อยากเจอใครกัน”

“พี่คนนั้น มีผีเสื้อ ผีเสื้อสวยๆ ให้อาเยวี่ยนเล่น” เว่ยอู๋เซี่ยนมีสีหน้าหมองลงในฉับพลัน ในหัวคล้ายได้ยินเสียงก้องของใครบางคนดังก้องในหัว

กลับไปกูซูกับข้า      

กลับไปทำไมกัน ……

“เจอไม่ได้อาเยวี่ยน” น้ำเสียงของพี่เซี่ยนขรึมขึ้นทันที อาเยวี่ยนน้อยหน้าหมองลงจนน่าสงสาร

“ถ้าเจอกันอีก … พี่ชายคนนั้นจะเดือดร้อนนะ”

“เดือดร้อนคืออะไร”

“เหมือนเวลาเจ้าโดนน้าฉิงทำโทษ เจ้าชอบมั้ยเล่า” อาเยวี่ยนหน้าเบ้ทันทีเมื่อนึกถึงน้าฉิงที่ทำโทษเวลาเขาทำตัวไม่ดี และก็สั่นหัวระรัว

“ถ้าเขามาเจอพวกเรา เขาจะโดนทำโทษรู้มั้ย”

“โฮ … อาเยวี่ยนไม่เจอ ไม่เจอแล้วก็ได้”

“ใช่ เชื่อพี่ใหญ่ของเจ้าซะ”

“แต่พี่คนนั้นมีของอร่อยนะพี่เซี่ยน”

“เจ้านี่ เห็นแก่กินอีกแล้วนะ” อาเยวี่ยนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกครั้ง และในเวลาอีกไม่นานก็ผล็อยหลับไปบนตักของเว่ยอู๋เซี่ยน เมื่อบรรยากาศรอบตัวสงบลง คล้ายกับเว่ยอู๋เซี่ยนจะได้ยินเสียงในอดีตอีกครั้ง

กลับไปกูซูกับข้า

หากในอดีตตอนนั้นเขายื่นมือกลับไปหาคนคนนั้น ตอนนี้จะเป็นเช่นไรกันนะ น่าเสียดายที่เขาไม่มีวันรู้ และคงไม่ได้รู้ไปตลอดชีวิต หนทางชีวิตของอี๋หลิงเหลาจู่ไม่ต่างอะไรจากสายน้ำและเวลาที่ไม่มีวันหวนคืน

.

.

———– ปัจจุบัน ———–

 “เว่ยเฉียนเป้ย” หลานซือจุยวิ่งออกมาต้อนรับหานกวงจวินและเว่ยเฉียนเป้ยผู้เพิ่งกลับมาจากท่องเที่ยวยุทธภพครั้งที่เท่าไหร่เขาก็ลืมนับ

“อาเยวี่ยน ข้ามีขนมจากแดนใต้มาฝากเจ้าด้วย โอ๊ะ — กลับมารอบนี้เจ้าตัวสูงขึ้นเท่าข้าแล้ว” เว่ยอู๋เซี่ยนในร่างโม่เสวียนอวี่ยิ้มเจิดจ้า มองเจ้าก้อนน้ำลายที่ครั้งหนึ่งเคยเกาะขาติดเขาหนึบ ยามนี้เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วหรือนี่

“ครั้งหน้าอย่าวิ่งเช่นนี้ ผิดกฎสกุล”

เมื่อหานกวงจวินเอ่ยจบประโยค เว่ยอู๋เซี่ยนก็หัวเราะเสียงดังลั่น ส่วนหลานซือจุยเพียงแค่ปิดปากทำเป็นกระแอมเบาๆ เท่านั้น

“ท่านเป็นถึงอี๋หลิงเหลาจู่ หัวเราะเสียภาพพจน์หมดขอรับ”

“อี๋หลิงเหลาจู่ตายไปนานแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ยามนี้มีเพียงข้าเว่ยอิงคนรักของหลานจ้านเท่านั้น”

ภาระและชื่อเสียงเรียงนามที่เคยแบกไว้บนบ่ายามเมื่อเป็นปรมาจารย์อี๋หลิงหายไปหมดแล้ว ความแค้นทุกอย่างก็มลายไปสิ้นเช่นกัน ในยามนี้เหลือเพียงเว่ยอิงผู้ยืนอยู่เคียงข้างหลานวั่งจีตลอดไปเท่านั้นแหละ

 

FIN

Family

ONE SHOT MDZS

Family

Main character – JC/JL

Rate – PG13

WARNING – ไม่มีเนต้าเหมือนเดิมจ้า

“เจ้าไปทะเลาะกับศิษย์คนอื่นทำไมอาหลิง” เด็กชายตัวน้อยวัยหกขวบในอาภรณ์สีบุษราคัมสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ดวงตากลมรื้นน้ำตาจนน่าสงสาร ซ้ำปากเล็กๆ นั่นก็เบะจนคว่ำ

“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าเมินหน้าข้ารึหรูหลาน?” จินหลิงน้อยสะดุ้งตัวโยน เจ้าตัวเล็กเปลี่ยนท่าทางยโสเมื่อครู่มายืนสงบเสงี่ยมต่อหน้าท่านน้าของตัวเอง

“ข้ามิผิด!” หลานชายตัวน้อยเอ่ย ประมุขเจียงผู้เป็นน้าชายถอนหายใจแผ่วเบา เจ้าตัวเล็กนี่ดื้อกว่าใครเขาหรือจะไม่รู้

“เจ้าพวกชั้นต่ำพวกนั้นกล่าววาจาดูถูกข้า หาว่าข้าเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน อาศัยว่าใช้บารมีสกุลจิน ไม่มีอาเตี่ยอาเหนียง เป็นเพียงเด็กชั้นต่ำ” จินหลิงพรั่งพรูความในใจตามที่จำได้ออกมา เด็กชายตัวน้อยไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมดที่เอ่ย แต่แค่เพราะถ้อยคำดูถูกว่าเขาไม่มีพ่อแม่เท่านั้นที่ทำให้จินหลิงไปต่อยตีกับคู่กรณี

“ไปเอาไม้เรียวมา ข้าจะอบรมหลานชายตัวเอง”

ประมุขเจียงสั่งคนสนิทด้วยน้ำเสียงเรียบ หลานชายตัวน้อยยืนตัวสั่นปล่อยให้น้ำตาไหลแต่ก็ยังกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในคอเตรียมรับบทลงโทษจากท่านน้า

.

.

.

.

“บ่าวบอกคุณชายแล้วอย่าใจร้อน มาให้บ่าวทายาก่อนเถิด โถ่….คุณชายอย่าดื้อเลย” บ่าวคนสนิทจากสกุลจินของคุณชายพยายามกล่อมเจ้านายตัวน้อยให้เลิกดื้อ หากยังมิยอมให้ทายาตรงสะโพก แผลที่โดนเฆี่ยนอีกไม่นานคงจะแตกแล้วเลือดจะออก จะปล่อยให้ผิวกายแสนสูงศักดิ์เช่นนี้มีรอยแผลได้อย่างไร

ประมุขเจียงหนอ มิเคยโอนอ่อนกับหลานชาย ช่างเข้มงวดเหลือเกิน

“ข้าไม่มายา อย่ามายุ่งกับข้า ข้ามันเด็กไม่ดี ไม่มีอาเตี่ยอาเหนียง! จิ้วจิ่วก็ไม่รัก! โฮว”

เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยวัยหกขวบดังลั่นไปทั่วเหลียนฮวาอู้ด้วยเวลาไม่ถึงเค่อ จินหลิงร้องไห้เพราะทั้งน้อยใจท่านน้าและยังรู้สึกเจ็บร้อนที่แผลเหนือสะโพก บ่าวรับใช้หน้าเสียกว่าเดิม คลานเข่าเข้าไปหาเจ้านายน้อยพยายามปลอบโยนมากเพียงใดแต่ก็เหมือนคุณชายจะไม่ได้ยิน

“ข้ามันเด็กอาภัพ ไม่มีแม่สั่งสอน โฮว”

“แล้วเจ้าไม่มีจิ้วจิ่วสั่งสอนรึ เงียบได้แล้ว มาทีไรก่อแต่เรื่อง หากยังไม่เงียบ ต่อจากนี้ก็อยู่จินหลิงไท่ไม่ต้องมาเหลียนฮวาอู้แล้ว”

น้ำตาเม็ดโตยังคงร่วงเผลาะลงมาจากดวงตากลม แต่สองมือเล็กยังขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอึกสะอื้น ไหล่ทั้งสองยังคงสั่นไม่หยุด

ไม่อยากเป็นเด็กดื้อของท่านน้า

ไม่อยากอยู่แต่ที่จินหลิงไท่

จินหลิงกลัวท่านน้าไม่รัก

บ่าวคนสนิทค่อยๆ เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเจ้านายน้อยเมื่อเด็กชายค่อยๆ สงบลง

“คุณชาย ถอดเสื้อผ้าให้บ่าวทายาเถิด”

“หากยังทำตัวให้เป็นแผลจนฝึกวิชาไม่ได้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปหาประมุขจินคืนนี้”

อาหลิงน้อยยอมปลดอาภรณ์ให้บ่าวสนิทบรรจงพอกยาสมุนไพรให้บนแผล รอยแดงยาวเหนือสะโพกไม่ได้ดูรุนแรงมากนัก แท้จริงประมุขก็ยังปราณีหลานในไส้ตนอยู่ จนกระทั่งพอกยาเสร็จสิ้น ข้ารับใช้ก็ตระหนักได้ว่าประมุขเจียงคงอยากใช้เวลาส่วนตัวกับหลานชาย

ไม่ว่าใครก็รู้ ประมุขเจียงรักหลานชายคนเดียวของตนมาก นับจากโศกนาฏกรรมที่สัตตบงกชเมื่อหลายปีก่อน และสิ่งที่อี๋หลิงเหล่าจู่ก่อกรรมให้ตระกูลเจียง หลานชายคนนี้ก็เป็นสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เพียงแต่ประมุขเจียงจะเข้มงวดกับจินหลิงน้อยอยู่เสมอ

“เจ้าไปก่อเรื่องท้าตีกับบ่าวทำไม”

“จินหลิงขออภัย จินหลิงผิดไปแล้ว”

“จะเป็นผู้ฝึกตนเป็นเซียนหรืออันธพาล เจ้าบอกข้าซิ”

“จินหลิง — จินหลิงจะเป็นผู้ฝึกตน จะเป็นเหมือนท่านน้า…. ฮึก”

“กล้าพูดได้เช่นไรไม่มีใครอบรมสั่งสอน เจ้ามองหน้าข้าซิแล้วพูดว่าข้าเป็นใคร”

“โฮว —— จินหลิงสมควรโดนเฆี่ยน จินหลิงเป็นเด็กไม่ดี ท่านน้าให้อภัยจินหลิงเถิด”

เจียงเฉิงอุ้มร่างเล็กของหลานชายมากอดแนบอกแล้วโยกตัวไปมาเพื่อกล่อมเจ้าเด็กน้อยเช่นทุกครั้งยามที่เจ้าตัวสะอื้นฮักอย่างนี้ไม่ยอมหยุด

“ร้องหาแต่อาเตี่ยอาเหนียง ลืมจิ้วจิ่วอย่างข้าไปเสียหมดสิ้น ข้ามิใช่ครอบครัวของเจ้ารึ?”

“ใช่… โฮว จิ้วจิ่วใช่ ครอบครัวของข้า ฮือ จินหลิงผิดไปแล้ว ครอบครัวของข้าคือจิ้วจิ่ว อาเล็กและนางฟ้าน้อย ฮือ”

“อาเตี่ยอาเหนียงของเจ้ามีภาระหน้าที่ต้องทำ ถึงจะเดินทางจากไปไกลแสนไกล แต่ก็ยังเฝ้ามองเจ้าอยู่บนฟ้า จินหลิง จงภูมิใจในพ่อแม่เจ้า”

“ท่านน้าไม่ต้องทำเหรอ ทำไมท่านน้าไม่ไป”

“เอ้า เจ้าเด็กนี่ แช่งให้ข้าตายรึ” เจียงเฉิงหลุดหัวเราะออกมากับถ้อยคำไร้เดียงสาของเด็กหกขวบ จินหลิงน้อยผู้ได้ยินคำว่าแช่งก็ร้องไห้จ้าออกมาอีก

คำว่าแช่งเป็นคำไม่ดี จินหลิงขอโทษ

“พอได้แล้วเจ้านี่ จะร้องไห้ให้ดังไปถึงจินหลิงไท่ให้อาเล็กเจ้าได้ยินเลยรึ เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง ไม่ขี้แยสิ”

ก็มีกันอยู่เท่านี้ มีกันอยู่เพียงแค่สองคนน้าหลาน เพียงเท่านี้ก็นับเป็นครอบครัว สิ่งสำคัญที่มีอยู่ของทั้งสองคน

ชีวิตในสัตตบงกชก็เป็นเช่นนี้แล ท่านประมุขกับหลานชายยังคงต้องมีปากเสียงกันไปอีกหลายปี

FIN.

Happiness

One shot Mo dao zu shi

ความสุข

Main Character – Jiangcheng / Little Jinling

Rate – PG13

warning – ไม่มีเนต้า ไม่มีอะไรเลย กาวเองล้วนๆจย้า

ช่วงยามที่ตะวันลับฟ้าที่เหลียนฮวาอู้คือยามสงบอย่างแท้จริง มีเพียงเสียงลมกระทบกับผิวน้ำ

แสนสงบแต่ไม่สุข ภายในใจประมุขเจียงยังคงระอุด้วยความโกรธแค้นเสมอมา

อวิ๋นเมิ่งเจียงครั้งหนึ่ง — เมื่อในอดีตเขาเชื่อว่ามันมีคำคำนั้นอยู่

ความสุข

วันที่ยังมีครอบครัวพร้อมหน้า ยังมีเหล่าศิษย์น้องฝึกวิชา และยังมีคนคนนั้นที่เป็นทั้งพี่ชาย เป็นเพื่อนสนิท บางเวลาก็เป็นน้อง แต่ทุกวันนี้เป็นศัตรู

ภาพที่เคยวิ่งเล่นกันในวันวานยังแจ่มชัดในความทรงจำ หากแค่มีอยู่จริงได้เพียงยามหลับตาลงเท่านั้น

ประมุขน้อยแห่งอวิ๋นเมิ่งเจียงเชื่อว่าไฟแค้นในใจเขาจะเลือนหายไปหากเว่ยอู๋เซี่ยนได้ตายจากโลกนี้ไป

หากแต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลย ราวกับในหัวใจไม่เคยปล่อยวางความแค้นทุกอย่างในอดีต เป็นเมฆหมอกปกคลุมให้อึดอัดทุกครั้งที่หวนนึกได้ขึ้นมา

ความเงียบสงบในเหลียนฮวาอู้ถูกทำลายด้วยเสียงร้องจ้าของเด็ก ไม่นานนักประมุขเจียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะมาจากข้างหลัง

“ท่านประมุขเจ้าคะ คุณชาย — คุณชายน้อยละเมอตื่นกลางดึกเจ้าค่ะ พวกข้าพยายามกล่อมแล้วแต่คุณชายน้อยยัง–”

“เงียบ! พวกเจ้าเป็นข้ารับใช้ประเภทใด แค่เด็กขวบปียังดูแลให้ดีไม่ได้ หลีก!” แม้ประมุขเจียงผู้มีดวงหน้าคมคายเป็นอันดับต้นในยุทธภพจะน่ามองมากเพียงใด แต่ในยามโกรธกริ้วก็ดุร้ายราวกับเสือเช่นกัน ไม่มีลูกศิษย์และข้ารับใช้คนใดกล้าสู้หน้าซักคน

เสียงเด็กเล็กร้องไห้จ้าจนลั่น มือเล็กป้อมกำลังทึ้งหัวของข้ารับใช้คนหนึ่งผู้กำลังโอบอุ้มร่างเล็กของทายาทสำคัญของสองสกุลไว้แนบอก แต่คุณชายเล็กทั้งกรีดร้องและดิ้นด้วยความขัดใจ จินหลิงตัวน้อยพอเห็นใบหน้าของเจียงเฉิงเจ้าตัวก็แผดเสียงร้องลั่นและออกแรงดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของพี่เลี้ยงจำเป็นเสียมากกว่าเดิม

“ปล่อยอาหลิงมาให้ข้าแล้วเจ้าก็ออกไปเสีย” ประมุขเจียงรับตัวหลานชายเพียงคนเดียวมาไว้แนบอก

“เจ้าเพิ่งจะอายุได้ขวบกว่า เหตุใดถึงแผลงฤทธิ์เอาแต่ใจเช่นนี้” เจียงเฉิงลูบหลังหลานตัวน้อยด้วยสัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบาผิดกับน้ำเสียงเย็นชาของเจ้าตัว

อาหลิงน้อยค่อยๆ สงบลงในอ้อมแขนของผู้เป็นน้า ศีรษะทุยเล็กที่ปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มสีดำสนิทซบลงบนบ่าของเจียงเฉิง น้ำมูกน้ำตาไหลลงมากองจนเสื้อผ้าของน้าชายชุ่ม

จินหลิง….. สิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความสูญเสียทั้งหมด สายเลือดของสกุลเจียงที่ท่านพี่ทิ้งไว้ ทั้งยังเป็นทายาทสำคัญของสองสกุล

“ร้องไห้เรื่องใดกันเล่า จิ้วจิ่วเจ้าอยู่นี่แล้ว ผีร้ายตนใดก็มารังแกเจ้ามิได้”

จินหลิงน้อยตัวไม่เล็ก แต่พัฒนาการช้าจนน่าเป็นห่วง ยามนี้เจ้าตัวขวบกว่า แต่ยังไม่พูดซักคำ ได้แต่อ้อแอ้ภาษาทารก หากจะโทษใคร เขาย่อมต้องโทษเว่ยอู๋เซี่ยนผู้พรากมารดาของอาหลิงไป ไม่มีโอกาสให้หลานเขาได้ดื่มน้ำนมจากมารดาผู้ให้กำเนิด

“อาหลิง จิ้วจิ่วขอโทษ เพราะข้าไม่แข็งแกร่งพอ ข้าปกป้องสิ่งใดไม่ได้ซักอย่าง ที่เจ้าต้องกำพร้าก็เพราะข้า”

เสียงสะอื้นของเด็กชายแผ่วเบาลง แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังคงไม่หลับสนิท จินหลิงยกศีรษะขึ้นมาจากบ่าของท่านน้า ดวงตากลมที่ได้ถ่ายทอดมาจากมารดาจ้องมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคนเลี้ยงดูใสแป๋ว มือเล็กป้อมยกขึ้นมาจับที่แก้มของเจียงเฉิงแล้วปากเล็กก็ขยับออกเสียง

“….จิ้ว….จิ้ว….”

แม้ฟังไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ในใจประมุขเจียงกลับชัดเจน คล้ายจะเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อแม่ว่าคงดีใจประมาณนี้เมื่อได้ยินบุตรหลานตัวเองพูดได้เป็นคำแรก

นานแล้วที่เจียงเฉิงไม่ได้รู้สึกมีความสุข

“จินหลิง จิ้วจิ่วของเจ้าคงต้องจมอยู่กับความแค้นในอกตลอดชีวิต ไม่มีวันที่จะพบความสุขอีกต่อไป แต่เพื่อพ่อแม่ผู้จากไปของเจ้า ข้าขอสาบานว่าจะทำให้เจ้ามีความสุขให้ได้ มีความสุขเผื่อทุกคนในสกุลของพวกเราด้วย เจ้าตัวเล็ก”

FIN.

แค่อยากเขียนโมเม้นน้าหลานเฉยๆน่ะค่ะ แฮร่

First meeting

AU – One Shot Mo dao zu shi

แรกพบ

Rate – PG 13

PARING – LXC × JGY

“เดินระวังหน่อย ไอ้เด็กกำพร้า!”

เรียวปากบางเม้มแน่นยินยอมรับถ้อยคำบริภาษนั้นเก็บไว้ในใจ ถึงจะฟังดูเหมือนคำดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริง

เรื่องจริงที่เมิ่งเหยาต้องก้มหน้ายอมรับ คับแค้นใจเพียงใดและต่อให้โต้เถียงกลับมันก็ไม่มีเปลี่ยนแปลง

ทั้งเรื่องที่แม่ตายและเรื่องที่พ่อแท้ๆ ก็ไม่ยอมรับเขาเป็นลูก

ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองที่กำลังเริ่มต้นวัยทำงานเก็บทุกความรู้สึกไว้ในใจ ซักวันที่เขาได้ยืนในจุดสูงสุดของชีวิต จะต้องเหยียบขยะพวกนี้ให้จมดิน มือเล็กบางเอื้อมหยิบกระดาษในแฟ้มที่หล่นกระจายลงบนพื้น ท่ามกลางสายตาที่ล้วนทิ่มแทงมาจนรู้สึกแสบหลังยิบ

ภาพวันที่เขาโดนรปภ.ของตึกผลักจนตกบันไดลงมายังชัดเจนในความทรงจำ เมิ่งเหยาวัยสิบสี่ที่เพิ่งสูญเสียแม่ที่เลี้ยงดูมา เดินทางเข้ามาหาผู้เป็นพ่อที่เคยเห็นจากแค่เพียงภาพถ่ายมาในเมืองหลวง แต่สิ่งที่เด็กชายได้รับมีเพียงสีหน้าเฉยเมยคล้ายไม่รับรู้ ประธานบอร์ดบริษัทจินไม่มีท่าทีแยแสต่อบุตรชายนอกสมรสที่มายืนคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ซ้ำยังเรียกให้รปภ.ของตึกลากตัวเด็กชายออกไปนอกบริษัทแล้วติดประกาศว่าห้ามให้เข้ามาอีก

นับจากวันนั้นที่ชีวิตต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหนจะไม่มีวันลืม กระทั่งสอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วกลับมาทำงานในบริษัทพ่อตัวเองก็ยังคงโดนดูถูกจากทุกคน

บนโลกนี้ล้วนมีแต่พวกปากขยะ เขาจะไม่มีวันเก็บมาใส่ใจหรอก

.

.

นัดพบลูกค้าสำคัญของบริษัท เมิ่งเหยาที่มีตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายจึงต้องเข้าร่วมด้วย ภายในห้องที่มีบิดาผู้ให้กำเนิดนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ใช้สายตามองผ่านคล้ายไม่เห็นเขาอยู่ด้วยซ้ำ

เมิ่งเหยาไม่ได้รู้สึกอะไรกับความเฉยชานั้นอีกแล้ว

จนกระทั่งคู่ค้าในวันนี้เดินเข้ามาทักทายกับประธานบริษัท เมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นมองมาที่เขาเช่นกัน บรรยากาศกระอักกระอ่วนไปเสียหมด ตั้งแต่เกิดมาคนที่ส่งยิ้มแบบนี้ให้เขาคงจะมีก็แต่มารดาผู้ล่วงลับไปเนิ่นนาน ทุกวันนี้ใครเล่าอยากจะผูกมิตรกับลูกนอกสมรสที่พ่อตัวเองไม่ยอมรับ แต่ยังตะเกียกตะกายปีนขึ้นหอคอยทองคำเพราะคาดหวังว่าซักวันจะได้เป็นมังกร

การเจรจาเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งหัวหน้าบอกให้เมิ่งเหยาไปยกชาเสิร์ฟให้คู่ค้าจากสกุลหลานทั้งสอง

“ขยะแขยง! ใครสั่งให้มันเป็นคนมาเสิร์ฟน้ำ !” ถ้อยคำด่าทออีกมากมายมาจากเลขาคนสนิทของบิดา จินกวงซานทอดถอนหายใจแผ่วเบาแล้วมองไปทางอื่น เมิ่งเหยาทั้งตกใจจนเผลอทำชาร้อนลวกใส่มือ และในใจก็ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ

“เอาน้ำแข็งโปะไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเป็นแผลเอา”

ความเย็นจัดสัมผัสลงบนหลังมือ ชายหนุ่มร่างสูงเชิ้ตขาวเนคไทสีครามมายืนประชิดตัวตั้งแต่ตอนไหนเมิ่งเหยาก็ไม่ทันรู้สึก

“อันที่จริงวันนี้ผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่เลยครับ”

ชายหนุ่มร่างสูงยังคงวุ่นอยู่กับการเอาก้อนน้ำแข็งประคบลงบนแผลที่กำลังแดงบนผิวขาวซีดที่อีกไม่นานอาจจะกลายเป็นแผลพุพอง

เขาแทบลืมไปแล้วว่าสัมผัสที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนี้มันรู้สึกเช่นไร ข้างในอกพองฟูเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ ไม่ว่าจะโดนด่าว่านินทาเท่าไหร่ก็ไม่เคยคิดอยากจะร้องไห้ กลับกันแค่เพียงได้รับความอ่อนโยนแบบนี้นั้นขอบตาดันร้อนผ่าว

“เอาไว้ทางสกุลหลานจะติดต่อมาอีกทีนะครับ หรือติดต่อผ่านทางเลขาของผมได้เลย วันนี้หลานซีเฉินต้องขอตัวก่อนแล้ว”

เจ้าของผ้าเช็ดหน้าที่นำมาใช้ประคบน้ำแข็งให้เขาเมื่อครู่จากไปแล้ว ทุกคนในห้องประชุมก็จากไป ทั้งเลขาคนสนิทของบิดาก็ออกไป เมิ่งเหยาเห็นว่าบิดาโกรธเกรี้ยวมากจนโยนแฟ้มใส่หัวของคนสนิท

แต่เมิ่งเหยาไม่ได้สนใจ

และไม่ได้สะใจที่เห็นด้วย

เขาเพียงแค่รู้ในวันนี้ว่าพระอาทิตย์ไม่ได้มีเพียงแค่ดวงเดียว

FIN

Lotus

Fictober Day1 – Lotus

Mo dao zu shi

one shot

Paring – LWJ × WWX

Rate – PG

กลิ่นบงกชยังคงกำจายอยู่ในอากาศ แม้จะเจือจางเสียจนลมพัดเข้ามาเพียงวูบเดียวคงสลายหายไป แต่กลิ่นดอกบัวที่หลานวั่งจีไม่เคยคุ้นยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก

นับแต่ที่คุณชายและศิษย์จากอวิ๋นเมิ่งเจียงได้มาเข้าเรียนที่กูซูหลาน หลานวั่งจีได้กลิ่นแปลกปลอมที่เจืออยู่ในอากาศเสมอ หอมละมุนชุ่มฉ่ำแต่ก็เย็นสดชื่น

เฉกเช่นเจ้าตัว…

เจ้าของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะน่าหนวกหูเคยมานั่งคัดตำราคุณธรรมอยู่ตรงหน้าเขานานนับเดือน แม้คนต้องโทษจะคัดไปบ่นไปด้วยเสียงอันเบา

‘คัดแค่บทเดียวข้าคงเหาะขึ้นสวรรค์ได้แล้วกระมัง’

หลานวั่งจีทอดมองด้วยสายตาใคร่รู้ แต่เว่ยอู๋เซี่ยนคัดจนจบสามบทตามที่ท่านลุงรับสั่งก็ยังมิได้เหาะเหินขึ้นไปดังเจ้าตัวว่า

หากไม่นับกิริยาไร้ยางอายและความน่ารำคาญที่พยายามก่อกวนเขาอยู่เสมอ เจ้าตัวก็นับเป็นคนดีคนเก่งคนหนึ่ง

ท่านพี่เคยกล่าวว่าเขาให้ความสนใจคุณชายเว่ยเป็นพิเศษ ใบหน้าคล้ายกับเขาวาดรอยยิ้มพึงใจที่น้องชายให้ความสนใจใครบางคนขึ้นมา แต่หลานวั่งจีก็ไม่เข้าใจที่ท่านพี่พูดนัก คนไร้ยางอายเช่นนั้นควรค่ากับความสนใจของเขาด้วยหรือ…

แต่กูซูหลานในวันที่เจ้าดอกบัวจากไปก็กลับมาเงียบสงบเฉกเช่นเดิม

‘เหลียนฮวาอู้เต็มไปด้วยดอกบัวสวยๆ เม็ดบัวหวานๆ และอาหารรสเผ็ดร้อน พี่รองหลาน วันหน้าหากท่านไปเยือนสกุลเจียง ข้าสัญญาจะต้อนรับท่านอย่างดี ไม่ถือโทษโกรธที่ท่านทำโทษข้าหรอกนะ — ข้ายอมแล้วพี่รองหลาน ข้าหยุดพูดแล้วก็ได้ อย่าเสกคำสาปนั้นใส่ข้าอีกเลย’

เหลียนฮวาอู้ ….. ซักวันคงได้ไป

[QZGS][SHORTFIC] ใ ก ล้

QUAN ZHI GAO SHOU FANFICTION


อวี้เหวินโจว x หวงเส้าเทียน (อวี้หวง)


 RATE : PG

 

ใกล้ . . .

อวี้เหวินโจวประคองร่างของที่ไม่ได้สติของหวงเส้าเทียนเข้ามาในห้องพักนักกีฬาอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายไม่ได้ตัวเล็กกว่าเขามาก ยิ่งพออีกคนสะลึมสะลือแบบนี้ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ช่วงสิ้นปีพวกรุ่นพี่นักกีฬาตัวจริงต่างซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกับแกล้มมาเลี้ยงฉลองกันในค่ายฝึกซ้อมของสโมสร แน่นอนล่ะว่าพวกเขายังอายุไม่ถึง แต่สุดท้ายก็โดนจับกรอกปากอยู่ดี อวี้เหวินโจวไม่เท่าไหร่ เพราะไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก เด็กหนุ่มเพียงแค่ดื่มน้ำอัดลม คอยชงเครื่องดื่มให้คนอื่น หลบอยู่เงียบๆ แต่คนที่เป็นจุดสนใจของทั้งหมดย่อมเป็นหวงเส้าเทียน

อยู่ที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ เจิดจ้าเสียจนคนที่มักเลือกจะอยู่ในเงาแบบเขาไปอยู่ใกล้ๆ ด้วยไม่ไหว

แต่หมอนั่นก็คอยมาอยู่ใกล้เสียอยู่เรื่อย คอยให้กำลังใจแม้ว่าคนอื่นจะคอยเยาะเย้ยใส่เขาก็ตาม

 

“วิธีการเล่นแบบนายฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แบบนี้ทำยังไงเหรอ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ นายวางแผนไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว บ้าไปแล้ว ! เรื่องซับซ้อนแบบนั้นฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย นี่ๆๆๆ อธิบายอีกรอบได้มั้ย?”

 

…จ้อไม่หยุด…

 

คำจำกัดความที่อวี้เหวินโจวมีให้หวงเส้าเทียนทันทีที่หมอนั่นเริ่มเข้ามาทำความรู้จักกับเขา เพื่อนร่วมค่ายฝึกซ้อมคนอื่น ถ้าไม่ได้เมินเฉยเขาไป ก็จะมีแต่พวกที่หัวเราะใส่เวลาที่เขาทำแบบทดสอบได้แค่ระดับคาบเส้นเท่านั้น แต่หวงเส้าเทียนที่จะเลือกให้กำลังใจกับเขา ไม่มีคำพูดบั่นทอนกันหรือถ้อยคำขยะใดๆ เลย แม้ว่าเขาจะเห็นว่าหมอนั่นกวนประสาทคู่ต่อสู้ยังไงบ้างก็เถอะ อีกฝ่ายไม่เคยเอามาใช้กับเขาเลย

 

“มันใกล้เกินไปแล้วรู้ตัวหรือเปล่า” อวี้เหวินโจวพูดเบาๆ ในขณะที่จับเส้าเทียนลงไปนอนบนเตียงดีๆ อีกฝ่ายกลับคว้าคอเขาไปอย่างกับคิดว่าเขาเป็นหมอนหน้าสิงโตบนเตียงอย่างไรอย่างนั้น

 

เมื่อจับอีกฝ่ายนอนดีๆ ส่งหมอนสิงโตตลกๆ ให้นอนกอดแล้วก็ดูเหมือนหวงเส้าเทียนจะสงบลง อวี้เหวินโจวยิ้มจางๆ ให้ทั้งที่อีกคนกำลังหลับสนิท ไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จางๆ ที่ซึมลงไปในเลือดหรือเปล่า หรือเป็นเพราะบรรยากาศยามกลางคืนที่เงียบสงัด รวมทั้งอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

อวี้เหวินโจวได้แต่หาข้ออ้างให้กับตัวเองวินาทีที่เขาโน้มตัวลงไปจูบคนที่นอนหลับสนิทบนฟูกเบาๆ และผละออกมาอย่างเชื่องช้า

 

เอี๊ยด …..

 

เสียงปิดประตูเบาๆ เป็นสัญญาณว่าคนฉวยโอกาสบางคนได้ออกจากห้องนี้ไปแล้ว หวงเส้าเทียนลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอนตัวเอง มือเรียวยกขึ้นมาขยุ้มอกเสื้อฝั่งซ้าย ใบหน้าขาวใสที่ตอนนี้แม้ปิดไฟแต่ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่ามันแดงขนาดไหนเพราะความร้อนที่แทบจะเผาใบหน้าอยู่แล้ว

ฉวยโอกาสชาวบ้านในเกมมาตั้งเยอะ นี่เป็นครั้งแรกเนี่ยแหละที่ถูกฉวยโอกาสกับเขาบ้าง
แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกันอยู่ดีนั่นแหละ !

 

“บ้า บ้า บ้า บ้า ไอ้บ้าเอ้ย อวี้เหวินโจว… นาย … นายมัน…..”

 

เส้าเทียนยกมือมาถูบนแก้มทั้งสองข้างแรงๆ เพื่อหวังว่าความร้อนนั้นจะจางหายไปบ้าง ที่เมาจนไม่ได้สติน่ะมันเรื่องจริง แต่แอลกอฮอล์เหมือนถูกล้างออกไปจากร่างกายหมดสิ้นแล้ว เพราะจูบของหมอนั่นน่ะแหละ แถมเขายังไม่รู้สึกง่วงซักนิดเดียว ทั้งที่เมื่อกี๊เดินหลับมาแท้ๆ ตอนที่อวี้เหวินโจวประคองเขากลับห้องมา ได้เรียนรู้ว่าวันนี้แหละว่า จูบ…สามารถทำให้สร่างเมาได้

แล้วคืนนี้เขาจะหลับได้ยังไง ตาสว่างซะขนาดนี้ พรุ่งนี้หมอนั่นต้องมารับผิดชอบเขา… รับผิดชอบหัวใจที่มันเต้นแรงจนเจ็บไปหมดนี่ซะด้วย

 

*************************************

 

หวงเส้าเทียนนอนไม่หลับ เขาได้หลับไปนิดเดียวตอนใกล้รุ่งสาง ซ้ำยังตื่นสายขนาดที่ว่าอีกสิบนาทีก็ได้เวลาฝึกซ้อมรอบเช้าแล้ว เลิกหวังถึงอาหารเช้าได้เลยแค่ไปให้ทันก็พอแล้ว เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าห้องฝึกซ้อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำ บนโต๊ะคอมมีนมหนึ่งกล่องและแซนด์วิชตั้งอยู่พร้อมกับโน้ตใบเล็กที่แนบไว้

 

ข้าวเช้า 🙂

 

ไม่มีชื่อเขียนมา มีเพียงแค่รูปปลากำลังยิ้มอยู่ข้างใต้เท่านั้นเอง จู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นแรงอีกครั้ง เขาคิดว่าเขารู้นะว่าใครเป็นคนเอามาให้ ใบหน้าใสหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนคุ้นเคย แต่เหมือนว่าโซนตรงนี้จะมีแต่คนที่ทำแบบทดสอบครั้งล่าสุดได้คะแนนใกล้เคียงกับเขาเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตรงนี้ แค่คิดเส้าเทียนก็รู้สึกเหงาแล้ว เด็กหนุ่มปลดปล่อยอารมณ์ไปกับการฝึกซ้อมช่วงเช้าแบบพูดนับคำได้ ผิดวิสัยจอมจ้อน้องใหม่แห่งหลานอวี่ คนที่จับสังเกตและเดินมาทักย่อมเป็นพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์อย่างกัปตันเว่ยชิน

 

“เฮ้ยศิษย์น้อง วันนี้เป็นอะไรใยเจ้าไม่น่ารำคาญเหมือนเคย”

 

“กัปตัน! ก็— ก็เมาค้างไง !!! เมื่อวานตาลุงที่จับเอาเหล้ากรอกใส่ปากผมกันเล่า!? ผมน่ะเป็นเยาวชนที่ดีอยู่ในทำนองคลองธรรมมาตลอดเลยนะ อายุยังไม่ถึงสิบแปด กัปตันกล้าดียังไงเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากรอกใส่ปากผม แบบนี้มันผิดกฎหมายนะ—“ หวงเส้าเทียนหันไปเจอตัวการเมื่อคืน เจ้าลุงนี่แหละตัวการสำคัญที่ทำให้เขาโดนปล้นจูบไป

 

“พอ พอก่อนไอ้ลิงนี่ ชวนคุยประโยคเดียวร่ายมาเป็นเรียงความเลยนะเอ็ง”

 

“กัปตัน… กัปตันเห็นอวี้เหวินโจวมั้ย?” ตอนนี้เป็นช่วงพักสิบห้านาที หวงเส้าเทียนกวาดสายตามองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เขาสนิทที่สุด แน่นอนว่าสนิทที่สุดเป็นเรื่องที่เขาคิดเอาเอง อีกฝ่ายจะสนิทด้วยหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจหรอก

 

“ใครคืออวี้เหวินโจววะ?” กัปตันเว่ยชินขมวดคิ้วกับคำถามของศิษย์เอก

 

“ช่างเถอะ ผมรู้อยู่แล้วถามกัปตันไปก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลาผมจริงๆเลย เดี๋ยวมานะกัปตัน”

 

“เดี๋ยวๆๆ ไอ้ลิงนี่ มานี่ก่อน วันนี้ดูแปลกไปจริงๆ นะเอ็ง”

 

“กัปตันปล่อยผม! ผมไม่ว่างจะมาคุยเรื่องไร้สาระกับกัปตันหรอกนะ ปล่อยก่อนสิ ผมหาอวี้เหวินโจวก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกันได้มั้ย กัปตันโว้ยยย” หวงเส้าเทียนโวยวายเสียงดังที่โดนเว่ยชินจับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำหน้าจอเหมือนเดิม ทุกคนเริ่มหันหน้ามามอง

 

“มาประลองกันซักตั้งสิ แล้วจะปล่อยไป”

 

การประลองดำเนินไปอย่างปกติโดยที่ทุกคนสละเวลาเบรกของตัวเองมาดูการประลองของดาวเด่นดวงใหม่แห่งหลานอวี่กับกัปตันเจ้าของตัวละครไพ่ราชาอย่างซอกเกอร์ซาร์

หวงเส้าเทียนแพ้ —- ซ้ำยังแพ้ราบคาบ กัปตันเว่ยชินหัวเราะนิดหน่อยอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินตั้งใจว่าจะมาลูบหัวไอ้หนูจอมอวดดีที่ตอนนี้สีหน้าหม่นลงอย่างน่าสงสาร ดวงตาคู่ใสดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่หน่อยๆ

ก็แบบนี้แหละ คนเรามันต้องกำราบกันบ้างก่อนที่จะหยิ่งยโสไปกว่านี้

 

“รุ่นพี่พอจะมีเวลาว่างต่ออีกหน่อยมั้ยครับ?”

 

เว่ยชินถูกทักท้วงด้วยเสียงที่เขาไม่คุ้นเลยซักนิดเดียว ซ้ำยังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่มายืนข้างๆ ศิษย์เอกของเขา เว่ยชินจำหน้าเจ้าหนูนี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนหวงเส้าเทียนจะอ้าปากหวอไปแล้ว เส้าเทียนคว้าแขนของเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นไว้ซ้ำยังพูดปรามว่าอย่าเลย

เว่ยชินรู้สึกว่าคนรอบข้างเริ่มส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เหมือนกับเจ้าหนูนั่นเป็นตัวตลก เพราะอะไรกันล่ะ

 

“กัปตันอย่าไปสนใจคำขอของเจ้านั่นเลย หมอนั่นความเร็วมือช้าเสียจนอยู่ในระดับพิการด้วยซ้ำ เสียเวลาเปล่าๆ” แต่เว่ยชินกลับรู้สึกไปในอีกแนวทางหนึ่ง บางทีเจ้าหนูนี่อาจจะกำลังต้องการคำชี้แนะของเขาก็เป็นได้ เผื่อที่อาจจะได้รู้จุดยืนของตัวเองว่าต้องอยู่ตรงไหน

 

“เอ้ามาสิ นั่งที่เส้าเทียนก่อนเลยไอ้หนู ว่าแต่ชื่ออะไรน่ะ”

 

“อวี้เหวินโจวครับ ขอคำชี้แนะจากรุ่นพี่ด้วยครับ”

 

**************************************

 

หลายคนพูดเสมอว่าอวี้เหวินโจวเป็นคนใจเย็น เจ้าตัวเองก็รู้สึกเช่นนั้นแหละ เขายิ้มรับให้กับทุกคำดูถูกเสมอ ตอบกลับคำเหยียดหยามไปด้วยความเยือกเย็นและสงบนิ่งดุจธารน้ำแข็ง และในตอนนี้ก็เช่นกันที่เขาได้รับชัยชนะถึงสามครั้งติด เขาไม่ยโสกับชัยชนะ ไม่หัวเราะผู้ปราชัย

อันที่จริงอวี้เหวินโจวรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะหัวร้อนไปเสียหน่อยกับเกมฝึกเมื่อตอนกลางวัน ตอนที่หวงเส้าเทียนพ่ายแพ้ให้กับกัปตันทีม แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักที่เด็กฝึกจะแพ้ให้กับนักกีฬาตัวจริง ยิ่งกับคนที่เป็นถึงกัปตันทีมของสโมสรแล้วนั้นยิ่งไม่แปลก

แต่เขากลับไม่พอใจ ไม่พอใจเอามากๆ ที่ใบหน้าที่สดใสนั้นหม่นหมองลงเพียงเพราะถูกใครทำให้เป็นแบบนั้น ความรู้สึกไม่ยอมถ้าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น อวี้เหวินโจวผลุนผลันขอกัปตันทีมท้าแข่งไปทันที

คนที่ถูกลืมเสมอในค่ายฝึกแห่งนี้กลับได้รับความสนใจจากคนที่ดาวเด่นอย่างหมอนั่น เขาเองก็อยากจะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ในซักวันเหมือนกัน

 

“นายสุดยอดไปเลยรู้มั้ย” เสียงใสที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้อวี้เหวินโจวหันกลับไปมองช้าๆ เส้าเทียนเดินมายืนอยู่ข้างๆ เขาที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าในยามกลางคืนอยู่

 

“ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวแล้วต่อไปนี้ที่จะรู้สึกว่านายสุดยอด ต่อจากนี้ทุกคนในค่าย ทุกคนในสโมสรจะต้องเหมือนกัน พวกเขาจะต้องหยุดเยาะเย้ยนาย หรือถ้านายยังโดนแบบนั้นอีกนายต้องบอกฉันนะ รับรองได้เลยว่าฉันต้องเอาคืนให้นายแน่—“ หวงเส้าเทียนที่กำลังเริ่มจ้อไม่หยุดต้องหยุดพูดเพียงเพราะมีฝ่ามืออุ่นๆ ของคนข้างๆ ที่วางลงมาบนหัวและก็ลูบผมของเขาเบาๆ อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบนักหรอกที่ถูกทำเหมือนเด็กกว่าแบบนี้

 

แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันรู้สึกดีชะมัด …

 

“เมื่อคืนนี้…ขอบใจนะที่มาส่ง”

 

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก”

 

“และก็….. ฉันตื่นอยู่นะ” จังหวะการลูบหัวของอวี้เหวินโจวชะงักไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะชักมือกลับ หวงเส้าเทียนก็คว้าฝ่ามือนั้นไว้

 

เขาอาจจะหัวไวกับเรื่องของเกมออนไลน์ก็จริง อาจจะชอบฉวยโอกาสแย่งมอนสเตอร์เขาบ้างบางครั้ง แต่ในเรื่องนี้เขาไม่มีประสบการณ์เลยซักนิดเดียว เขาไม่รู้ว่าควรต้องพูดอะไรหรอกไป ไม่รู้กระทั่งความรู้สึกข้างในอกที่มันเต้นแรงจนหนวกหูว่ามันควรจะเรียกว่าอะไร

 

“ฉันชอบนะ” เด็กหนุ่มโพล่งมันออกไปโต้งๆ ทั้งที่หน้าแดงก่ำ อวี้เหวินโจวไม่แน่ใจว่าควรรจะดีใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาตกใจและก็ตลกอีกฝ่ายเสียมากกว่า

 

“ฉัน.. ฉันชอบจูบนั้นของนาย” หวงเส้าเทียนก้มหน้างุด ไอ้ที่เคยโดนคนอื่นเขาด่าว่าหน้าด้านจนเจ้าตัวนับเป็นคำชมไปนั้นเวลานี้กลับไม่สามารถดึงมันออกมาใช้ได้เลย

 

“แต่ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ ฉันรู้สึกโง่เง่ามากๆ เลยล่ะ ดังนั้นถ้านายรู้ —“ เสียงของหวงเส้าเทียนถูกปิดด้วยฝ่ามืออุ่นของอวี้เหวินโจว คนตรงหน้ายิ้มละไมให้เขา ความตระหนกต่างๆ ที่มีอยู่ก็เหมือนค่อยๆ อันตรธานไป

 

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันอย่างนึงก็คงจะเป็นเพราะว่าเราชอบจูบนั้นเหมือนกันล่ะมั้ง” ประโยคยาวๆ ของคนพูดน้อยทำเอาหวงเส้าเทียนรู้สึกร้อนวูบวาบบนแก้มอีกครั้ง

 

“ดังนั้น — เรามาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันดีมั้ย?”

 

ตำนานแห่งหลานอวี่คนที่เป็นดั่งฐานศิลาและคมดาบเริ่มต้น ณ จุดนี้ที่ทั้งสองจะเรียนรู้ไปพร้อมกันตลอดไป

 

FIN

 

 

คิดว่าอยากเขียนตั้งแต่ตอนอ่านเล่มแปดจบแล้วค่ะ แต่ไม่มีเวลาด้วยอะไรด้วย วันนี้ว่างทั้งวันก็เลยลองดู ; ;

ไม่ได้เขียนฟิคนานแล้ว ความเร็วระดับพี่อวี้ คุณภาพระดับเม่ยกวง ซอรี่นะคะ 5555